รีวิว MSI Prestige 13 AI+ Evo สเปก Intel Core Ultra 7 285V เบา 990 กรัม พรีเมียม ฟีเจอร์ครบ ราคาพิเศษ 44,940 บาท

Last Updated on 12/31/2024 by admin

รีวิว MSI Prestige 13 AI+ Evo สเปก Core Ultra 7 285V
เบา 990 กรัม พรีเมียม ฟีเจอร์ครบ ราคาพิเศษ 44,940 บาท

MSI Prestige 13 AI+ Evo เป็น AI PC รุ่นใหม่ หนึ่งใน Copilot+ PC สาย Business & Productivity หน้าจอ 13.3″ ตัวแรงล้ำ ดีไซน์บางเฉียบ เบาเพียง 990 กรัม โดยมาพร้อมกับประสิทธิภาพจากชิปประมวลผล Intel Core Ultra 200V “Lunar Lake” อย่าง Core Ultra 7 258V รองรับการเร่งการทำงาน AI ด้วย NPU กว่า 48 TOPS (Total 120 TOPS) พร้อมด้วยการ์ดจอ Intel Arc 140V Graphics ที่แรงกว่าเดิม 2 เท่า ซึ่งมีรุ่นที่เป็นแพลตฟอร์ม Intel EVO Edition พร้อมแรม 32GB DDR5 LPDDR5x Bus 8533MHz ส่วนที่เก็บข้อมูลเป็น SSD M.2 NVMe PCIe Gen 4 ความจุ 1TB แรงลื่นเพียงพอต่อการใช้งาน อัปเกรดเว็บแคมเป็น 5MP มีม่านเปิด-ปิดด้วย

MSI Prestige 13 AI+ Evo

แน่นอนว่าได้ฟีเจอร์พอร์ต Thunderbolt 4 x 2 พอร์ตที่ดีที่สุด และพอร์ตอื่นๆ ก็ครบครัน ตัวเครื่องแข็งแรงทนทาน มาตรฐาน Military Standard ที่สำคัญคือตัวเครื่อง MSI Prestige 13 AI+ Evo A2VM มีความพรีเมียมและบางเบาอย่างที่สุด ด้วยวัสดุอย่างแม็กนีเซียมอัลลอยด์ บางเพียง 16.9 มิลลิเมตร ส่งให้พกพาสะดวก สีสัน Stellar Grey ซึ่งมีความโดดเด่นและสวยงาม แต่ได้ประสิทธิภาพในการทำงานที่ทรงพลัง อีกทั้งมี Fingerprint + IR Camera สนับสนุนทั้งทำงานที่ดีกว่ารุ่นอื่นๆ พร้อมแบตเตอรี่ 75Wh ใช้งานได้ยาวนานสูงสุด 15 ชั่วโมงขึ้นไป ผ่าน USB-C ที่อแดปเตอร์ขนาดเล็ก ที่ใช้ได้หลากหลายกว่า มีฟีเจอร์ MSI AI Engine ช่วยปรับโหมดการใช้งานอัตโนมัติ

MSI Prestige 13 AI+ Evo

สำหรับ MSI Prestige 13 AI+ Evo A2VM ได้หน้าจอ OLED มาตรฐานค่าสีที่ DCI-P3 100% ความละเอียด 2.8K (2880 x 1800px) เหมาะสมที่จะช่วยให้สาย Creator หรือ Productivity ได้เติมเต็มประสบการณ์ในด้านการสร้างสรรค์ผลงานได้มากยิ่งขึ้น อีกทั้งได้ฟีเจอร์อื่นๆ ที่ครบครันตามสไตล์ของ MSI จัดเต็ม อย่างกางหน้าจอได้ 180 องศา มีปุ่ม Flip&Share (ปุ่ม F12) รวมถึงมีการเชื่อมต่อไร้สายที่ดีที่สุดอย่าง Wi-Fi 7 + Bluetooth 5.4 พร้อมมี Proximity Sensor และ Ambient Light Sensor เพื่อประสบการณ์ใช้งานที่ดีกว่า ได้ Windows 11 Home และชุดโปรแกรม Office Home & Student 2021 ราคาเปิดตัว 52,990 บาท การรับประกัน 2 ปี ตามสไตล์ของ MSI

MSI Prestige 13 AI+ Evo

ได้ระบบระบายความร้อนที่ดี ซึ่งทำให้เราใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนานและสเถียรภาพสูง ลำโพงเป็นแบบ 2W x 2 ตัว ได้เสียงคุณภาพดี อีกทั้งยังมีฟีเจอร์ MSI AI Engine ช่วยปรับโหมดการใช้งานอัตโนมัติเมื่อใช้งานโปรแกรมต่างๆ แน่นอนว่าได้ Windows 11 Home และชุดโปรแกรม Office Home & Student 2021 ทำให้เราใช้งานโปรแกรม Word / Excel / Power Point ใช้งานได้ทันที ราคาเปิดตัว 52,990 บาท การรับประกัน 2 ปี ตามสไตล์ของ MSI เรียกได้ว่าเป็น AI PC รุ่นใหม่ หนึ่งใน Copilot+ PC ซึ่งมีฟีเจอร์ใหม่ๆ ของ Microsoft ที่ตอบโจทย์คนทำงานยุคใหม่

VDO Review

AdminPong Verdict

เรียกว่าใครกำลังหามอง Business & Productivity Notebook หรือ Creator Notebook รุ่นใหม่ไซซ์กำลังดี ที่ได้สเปกใหม่ เรียกได้ว่าเป็น AI PC รุ่นใหม่ หนึ่งใน Copilot+ PC ซึ่งมีฟีเจอร์ใหม่ๆ ของ Microsoft ที่ตอบโจทย์คนทำงานยุคใหม่ ด้วย MSI Prestige 13 AI+ Evo รุ่นนี้ก็ตอบโจทย์เลย จากการที่สเปกเป็น ชิปประมวลผล Intel Core Ultra 200V  ซึ่งมาพร้อมกับ NPU ต่างหาก ทำให้ช่วยประมวลผลด้าน AI โดยเฉพาะได้ดีขึ้น อย่างที่ชิปประมวลผลรุ่นก่อนๆ ทำไม่ได้ รองรับการใช้งานในอนาคต พร้อมด้วยการ์ดจอออนชิปตัวแรง ที่เน้นนำไปใช้งานกราฟิก 3 มิติ หรือใครทำงานเสร็จจะเอามาเล่นเกม ก็ดีกว่ารุ่นที่เป็น Notebook ยุคก่อน ที่ไม่มี NPU รวมถึงการ์ดจอออนชิปไม่แรงเท่าไร

MSI Prestige 13 AI+ Evo

จุดเด่นที่ใช้แล้วชอบ

  • เป็น Notebook ยุคใหม่ AI PC ที่มีความบาง 16.9 ม.ม. และเบาเพียง 990 กรัมเท่านั้น
  • ได้สเปกชิป Intel Core Ultra 200V รุ่นใหม่ มาพร้อมประสิทธิภาพการทำงานที่ลื่นไหล
  • เป็นชิปที่มี Neural Processing Unit (NPU) เทคโนโลยี Intel AI Boost เพื่องาน AI
  • เป็น Notebook ที่ได้แพลตฟอร์ม Intel EVO Edition ให้ประสบการณ์ใช้งานที่ดีกว่า
  • เป็น Notebook ที่ได้แพลตฟอร์ม Copilot+ PC ซึ่งมีฟีเจอร์ใหม่ๆ ของ Microsoft
  • ได้การ์ดจอแยกออนชิปรุ่นใหม่ Intel Arc 140V ที่ทำงานดีเล่นเกมได้ ดีกว่ารุ่นก่อน
  • ติดตั้งแรม 32GB และ SSD ความจุ 1TB ความเร็วสูง ตอบโจทย์การใช้งานทันที
  • หน้าจอ 13.3″  กระทัดรัด OLED ที่ความละเอียด 2.8K ขอบเขตสีขั้นสูง P3 100%
  • เป็น Notebook สาย Business & Productivity ที่มีความบางเบาพกพาสะดวก
  • ดีไซน์สวยงามสไตล์ Prestige พร้อมความทนทานมาตรฐาน Military Standard
  • ได้พอร์ตครบครันอย่าง Thunderbolt 4 x 2 (Full Function), USB-A, HDMI
  • แบตเตอรี่ใช้งานได้เกือบ 15 ชั่วโมง พร้อมชาร์จไฟกลับได้ไว้ผ่าน USB-C
  • มีระบบสแกนนิ้ว Fingerprint และ IR Camera สแกนใบหน้าในเครื่องเดียว
  • เว็บแคมเป็น 5MP สนับสนุนทั้งทำงานที่ดีกว่ารุ่นก่อนๆ มีม่านเปิด-ปิดด้วย
  • มี Proximity Sensor และ Ambient Light Sensor เพื่อการใช้งานที่ดีกว่า
  • เป็น Notebook ที่ดีไซน์บานพับให้กางหน้าจอได้ 180 องศา มีปุ่ม Flip&Share
  • ระบบระบายความร้อนเมื่อทำงาน Full Load ก็สามารถจัดการได้เป็นอย่างดี

ข้อควรรู้ก่อนซื้อ

  • จอเป็น Refresh Rate 60Hz ถ้าได้ Hz มากกว่านี้ ก็จะลื่นไหลมากกว่านี้
  • ได้เป็น micro-SD Card Reader ถ้าได้เป็น SD Card ไซซ์ปกติก็จะดีกว่า
  • กรณีที่ใช้งานหนักๆ Full Load ต่อเนื่อง บริเวณเหนือคีย์บอร์ดจะมีความร้อนสูง

MSI Prestige 13 AI+ Evo

Specification

MSI Prestige 13 AI+ Evo A2VMG-031TH ราคา 52,990 บาท
โปรโมชั่นพิเศษเพียง 44,940 บาท ถึง 31 มกราคมนี้ !!!
กดลิ้งค์สั่งซื้อได้ที่
https://s.shopee.co.th/1qLSqcWJcZ

  • CPU : Intel Core Ultra 7 258V (8C/8T, up to 4.8GHz)
  • GPU : Intel Arc 140V Graphics
  • RAM : 32GB LPDDR5x 8533MHz
  • STORAGE : SSD M.2 PCIe NVMe Gen 4 1TB
  • DISPLAY: 13.3″ OLED 2.8K, P3 100% @60Hz
  • OS : Windows 11 Home
  • Software : Office Home & Student 2021
  • Warranty : 2 Years (1 Year Global+ 1 Year Thailand)

Hardware / Design

สำหรับดีไซน์ MSI Prestige 13 AI+ Evo เป็น AI PC ที่เบาแต่แรงสุดๆ ให้เรียบหรูดูพรีเมียม กับพื้นผิวเรียบๆ พร้อมกับสีสัน Stellar Gray วัสดุตัวเครื่องทำมาจากแม็กนีเซีมอัลลอยด์ ตลอดทั้งตัวเครื่อง แตกต่างจาก Gaming Notebook ของทาง MSI รุ่นอื่นๆ ชัดเจน เน้นเรื่องความพรีเมียมเรียบง่าย สมกับฉายา Prestige แน่นอนว่าจะเอาไปทำงานทั่วไปก็ลงตัว หรือจะเอาไปทำงาน Business & Productivity หรือ Creator ก็เหมาะสม รวมถึงหลังเลิกงานแล้ว จะเล่นเกมเบาๆ ด้วยเครื่องเดียวกันนี้ ก็ถือว่าลื่นไหล แป้นคีย์บอร์ดมีขนาดกำลังพอดี ใช้งานกดสะดวกพร้อมไฟคีย์บอร์ดสีขาวให้ความดูดี ให้ประสบการณ์ใช้งานที่ยอดเยี่ยมกว่ารุ่นทั่วไป

MSI Prestige 13 AI+ Evo

พร้อมติดตั้งทัชแพดมีขนาดใหญ่โตมากเมื่อเทียบกับมิติตัวเครื่อง เป็นลักษณะผืนผ้าออกแนวยาวๆ ดูเป็นเนื้อเดียวกับตัวเครื่องตัวปุ่มคลิกเป็นแบบชิ้นเดียวกับทัชแพด โดยการควบคุมสามารถทำได้เป็นอย่างดี ใช้งานได้สะดวกสำหรับการวางบนตัก ส่วนที่พักมือและเนื้องานรอบแป้นพิมม์ใช้วัสดุเป็นแม็กนีเซียมอัลลอยด์ที่สวยงาม ทนทาน และพรีเมียม แตกต่างจากอลูมินียมในรุ่นอื่นๆ อีกทั้งยังเป็นรอยนิ้วมือได้ยาก ที่แม้ว่าตัวเครื่องจะมีความบางเบา แต่ก็ได้มาตรฐานความทนทานระดับ Military Grade อาทิ ทนต่อการ ตกกระแทก ฝุ่นละเอง ความร้อนความเย็นความชื้น พกพาไม่ไหนมาไหนใช้งานนอกสถานทีมั่นใจได้

MSI Prestige 13 AI+ Evo

จุดเด่นของ MSI Prestige 13 AI+ Evo โดดเด่นด้วยการมีตัวเครื่องเบาเพียง 990 กรัม หรือก็คือไม่ถึง 1 กิโลกรัม บางเฉียบ 16.9 มิลลิเมตร กับการที่เป็น Notebook สเปกแรง มีการ์ดจอแยก ที่สำคัญยังมีรายละเอียดอื่นๆ อีกด้านฐานล่างตัวเครื่องดูแล้วเป็นหนึ่งด้วยกับตัวเครื่องกับงานประกอบที่เรียบร้อย พร้อมมียางรองช่วยยกตัวเครื่องให้สูงขึ้น ช่วยส่งมวลลมเย็นถูกดูดเข้าช่องลมขนาดใหญ่ได้มากขึ้นส่งผลให้มีประสิทธิภาพในการระบายความร้อนที่ดี สมกับเป็น Business & Productivity & Creator Notebook ปี 2025 รุ่นระดับบนของแบรนด์ เหมาะกับคนที่ต้องการโน๊ตบุ๊คทำงานสายสร้างสรรค์ที่เน้นความแรงลื่น

Keyboard / Touchpad

คีย์บอร์ด MSI Prestige 13 AI+ Evo ต้องบอกว่าแตกต่างจาก Notebook ทั่วไป กับการตอบสนองได้ดี โดยพัฒนาและออกแบบมาให้ MSI โดยเฉพาะ ทั้งอารมณ์การตอบสนองของแป้นพิมพ์ แรงกด โดยมีระยะกดที่ 1.7 มิลลิเมตร ที่ไฟส่องสว่างสีขาว ให้ความพรีเมียมและใช้งานง่ายในที่แสงน้อย รวมไปถึงมีปุ่ม Hot-key ต่างๆ ที่ปุ่ม Fn แถวบน พร้อมปรับแต่งซอฟแวร์ต่างๆ ผ่าน MSI Centerได้ด้วยเช่นกัน แน่นอนมีแป้น Numpad ด้วย แต่ก็อาจจะแคบหน่อย จากการที่ตัวเครื่องมีมิติที่เล็ก เป็น Notebook ที่ดีไซน์บานพับให้กางหน้าจอได้ 180 องศา มีปุ่ม Flip&Share ที่ปุ่ม F12 ทำให้สะดวกในการแชร์หน้าจอกับคนนั่งฝั่งตรงกันข้าม

MSI Prestige 13 AI+ Evo

ทัชแพดมีขนาดใหญ่ ถ้าเทียบกับรุ่นปีก่อนๆ  โดยดูเป็นเนื้อเดียวกับตัวเครื่อง แต่สัมผัสจะให้ความลื่นไหลมากกว่า ตัวปุ่มคลิกเป็นแบบชิ้นเดียวกับทัชแพด เข้ากับตัวเครื่องโดยรวม โดยการควบคุมสามารถทำได้เป็นอย่างดี ส่วนปุ่มคลิกทั้งซ้ายขวาก็อาจจะมีความแข็งพอดีๆ การใช้งานโดยจัดได้ว่าอยู่ในระดับลงตัว ใช้งานได้สะดวกสำหรับการวางบนตัก หรือเล่นในร้านกาแฟ โดยการควบคุมมีการตอบสนองได้ดี  พร้อมรองรับ Multi Gesture ลื่นไหล ทำงานร่วมกับ Windows 11 Home ได้เป็นอย่างดี โดยปุ่ม Power เป็นปุ่ม Fingerprint ในตัว โดยมีการติดตั้งไว้ที่มุมขวาบน ได้ความสะดวก เพื่อเข้าใช้งานผ่านทาง Windows Hello

Screen / Speaker

MSI Prestige 13 AI+ Evo มีหน้าจอ OLED ขนาด 13.3″ ความละเอียด 2.8K (2880 x 1800px) รองรับ Refresh Rate ที่ 60Hz ทำให้ภาพความลื่นไหลตามมาตรฐาน ได้เป็นพาเนล IPS คุณภาพสูง โดยให้มุมมองที่กว้าง สีสันก็สดใส เมื่อใช้การดูภาพ ดูวิดีโอ และเล่นเกมก็ทำได้อย่างเป็นอย่างดี เรียกได้ว่าให้ประสบการณ์ใช้งานที่ดี ตามสไตล์ของ Creatoe Notebook ของ MSI พร้อมติดตั้งเว็บแคมแบบ 5MP มีชัตเตอร์เลื่อนปิดเปิดได้ และไมโครโฟนขอบด้านบน พร้อม IR Camera สแกนใบหน้าเข้าใช้งาน พร้อมมี Ambient Light Sensor คอยปรับแสงอัตโนมัติ และ Proximity Sensor ตรวจจับการใช้งาน ติดตั้งไว้ที่ขอบขอด้านบนสุด

ทดสอบประสิทธิภาพหน้าจอที่มากับเครื่อง กับการที่เป็นโน๊ตบุ๊คเพื่อการทำงานมืออาชีพ ที่ใช้หน้าจอพาเนล IPS เกรดขั้นสูง ที่นับว่าเป็นพาเนลที่ดีเยี่ยม ใช้เครื่องมือที่เป็นทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์อย่าง Calibrite Display Plus HL พร้อมทั้งคาลิเบรทหน้าจอให้สีสันมีความตรงความเป็นจริงมากที่สุด ซึ่งเมื่อคาลิเบรตแล้วเราก็เลือกโปรไฟล์เอาไว้ ผลที่ได้หลังจากที่คาลิเบรตก็คือคอนทราสต์มีการไล่โทนที่กว้างขึ้น รวมไปถึงมีสีสันและอุณหภูมิสีที่แทบจะไม่เปลี่ยนแปลง เพราะให้การแสดงผลที่ดีจากโรงงานอยู่แล้ว โดยเมื่อตรวจสอบแล้วได้ค่าขอบเขตสีที่ไปได้ถึงระดับ sRGB 171.3% / AdobeRGB 118% / P3 121.3% ซึ่งถือว่าดีแบบมืออาชีพแน่นอน

ระบบเสียงก็น่าประทับใจ ด้วยลำโพงแบบ 2 ตัว (2x 2W) คุณภาพดีที่ทาง MSI ใช้งานมาอย่างยาวนาน แม้จะไม่ใช้รุ่นที่มีลำโพงหลายตัวก็ตาม (แต่ก็ขาดเสียงทุ้ม) ติดตั้งไว้ที่ขอบตัวเครื่องด้านหน้า โดยมีซอฟแวร์ปรับแต่งเสียง Nahimic ทำให้มีการปรับแต่งเสียงที่ดีกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปอย่างชัดเจน สนับสนุน VR และ 3D เต็มรูปแบบใช้เล่นเกมนี่บันเทิงได้เต็มอารมณ์ ยิ่งถ้าต่อหูฟังเสียบผ่าน Audio Boost ยิ่งได้อรรถรสในการเล่นเกมได้ดีขึ้นไปอีกระดับ จะช่วยเพิ่มรายละเอียดของคุณภาพเสียงอีกด้วย พร้อมมีฟีเจอร์ Hi-Res Audio ด้วยชิปเสียงต่างหาก อย่างไรก็ตามว่ากันตามตรง ยังไงในการใช้งานถ้าต้องการเสียงคุณภาพดี แนะนำให้ต่อหูฟังหรือลำโพงแยก ยังไงก็จะดีกว่า

Connector / Thin and Weight

MSI Prestige 13 AI+ Evo เป็น Creator Notebook จอกระทัดรัดที่มีพอร์ตเชื่อมต่อที่ครบครัน ติดตั้งไว้ที่มุมขวาและขอบตัวเครื่องด้านหลัง ไม่ว่าจะเป็น USB 3.2 Type-A จำนวน 1 ช่อง, USB 3.2 Type-C จำนวน 1 ช่อง รองรับการเชื่อมต่อ DP 1.4 รวมถึง PD 3.0 และ Thunderbolt 4 จำนวน 1 ช่อง แบบ Full Function  ซึ่งรองรับการใช้งานทั้งชาร์จไฟ PD 3.1 140W ต่อจอแยกและโอนถ่ายข้อมูล พร้อม HDMI 2.1 เพื่อเชื่อมต่อหน้าจอภายนอก อีกทั้งมี LAN RJ45 เพื่อการใช้งานเครือข่ายแบบมีสาย แต่ก็น่าเสียดายไม่มี SD Card Reader ทำให้ถ้าใครจะใช้ SD Card ต้องหา Hub ต่อเพิ่ม

เชื่อมต่อไร้สายด้วย Intel Wi-Fi 7 + Bluetooth 5.4 ได้ความสดใหม่ในเทคโนโลยี ที่เรียกได้ว่าเป็นการเชื่อมต่อที่ครบถ้วนอีกหนึ่งรุ่น แต่พอร์ตถ้าให้ดีกว่า กรณีของ Thunderbolt 4 ถ้าได้มาเป็น 2 พอร์ตเลยจะดีมากๆ ส่วนของการพกพาก็ถือว่าทำได้ดี ด้วยน้ำหนัก 990 กรัม ที่สำคัญอแดปเตอร์ USB-C จ่ายไฟที่ 65 Watt นั้น มีขนาดที่เล็กและเบาลงกว่ารุ่นก่อนๆ เลยทีเดียว รวมๆ กันแล้วหนักเพียง 1.33 กิโลกรัมเท่านั้น ทำให้ MSI Prestige 13 AI+ Evo เป็น Creator Notebook พกพาไปใช้งานนอกสถานที่ได้สะดวกสบายๆ เทียบกับความแรงที่ได้ ถือว่าตอบโจทย์การใช้งานมืออาชีพได้จริง

Inside / Upgrade

การแกะอัปเกรดต้องแกะฝาล่าง MSI Prestige 13 AI+ Evo ซึ่งการแกะฝาล่างนั้นไม่ยุ่งยาก เพียงไขน๊อตประมาณ 10 ตัว โดยเมื่อแกะออกมาแล้ว ก็จะเป็นอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ภายในทั้งหมด ติดตั้งแรมมาแล้วขนาด 32GB LPDDR5x 8533MHz ซึ่งแบบเป็นที่อยู่ในแพคเก็จของชิปประมวลผล Intel Core Ultra 200V โดยรองรับการใช้งานได้แบบสบายชัวร์ๆ โดยมีกรอบโลหะครอบเอาไว้อยู่ ส่วน SSD M.2 NVMe PCIe Gen 4 ความจุ 1TB จำนวน 1 ตัว 1 Slot เท่านั้น ซึ่งถ้าจะอัปเกรดความจุ ก็ต้องถอดของเดิมออกก่อน และแบตเตอรี่ความจุสูงที่สุดที่ 75 Wh เท่าที่จะให้ได้แล้ว เพราะตัวเครื่องเองก็มีความบางและเบาแบบสุดๆ

ในส่วนของระบบระบายความร้อนก็จะเป็นระบบ Cooler Boost ตามสไตล์ของ MSI ซึ่งเน้นในเรื่องของทิศทางการไหลเวียนเข้าออกของลมที่ดีขึ้นกว่าปกติทั่วไป โดยจะมีช่องระบายความร้อนทั้งหมดถึง 1 ช่อง เป็นด้านหลังเพียง 1 ช่อง ซึ่งก็เพียงพอกับการใช้านทั่วไปและการทำงานหนักๆ พร้อม Heat Pipe แบบใหม่ที่บางพิเศษ จำนวน 1 เส้นขนาดใหญ่ที่มีการเชื่อมต่อกัน ส่งผลในการใช้งานแบบ Full Load ทำได้อย่างเสถียรภาพสูง ซึ่งการแกะฝาล่างของ MSI Notebook สามารถทำได้ง่าย โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าประกันจะหลุดแต่อย่างใด ขอแค่ว่าอย่าแกะจนเกิดความเสียหายก็พอ รวมไปถึงการใส่กลับด้วย ฉะนั้นต้องทำด้วยความระวัง

Performance / Software

โดย MSI Prestige 13 AI+ Evo มาพร้อมกับชิปประมวลผลประสิทธิภาพสูง เน้นใช้งานกับ Notebook ยุคใหม่ AI PC อย่าง Intel Core Ultra 7 258V กระบวนการผลิต Intel 4 เทคโนโลยีที่ 3 nm ผสมสถาปัตยกรรมคอร์ประมวลผล 2 แบบเข้าด้วยกัน แยกเป็นฝั่งคอร์ P ตัวแรงประสิทธิภาพสูง Lion Cove ที่ปรับแต่งมาเพื่องานหนัก ๆ โดยเฉพาะ ส่วนอีกตัวเป็น Skymont ของฝั่งคอร์ E ที่จะเน้นไปที่การประหยัดพลังงานเป็นหลัก โดยมีความเร็วในการประมวลผลอเร่งประสิทธิภาพขึ้นไปได้สูงสุดถึง 4.80 GHz เป็นการทำงานแบบเป็น 8 Core 8 Threads อีกทั้งมี NPU อย่าง Intel AI Boost ช่วยงานด้านเร่ง AI แบบออฟไลน์

การ์ดจอเป็นแบบออนชิปอย่าง Intel Arc 140V ที่มี 8 คอร์ Xe2 และความเร็วสัญญาณนาฬิกา 2.0 GHz ทำให้สามารถรองรับการทำงานกราฟิกได้ดี สถาปัตยกรรม Xe2 ใหม่ล่าสุด ที่เป็นส่วนหนึ่งของชิปประมวลผล Intel Core Ultra (Series 2) ให้ความแรงที่มากกว่า Xe1 ของเดิมถึง 31% และยังสามารถขึ้นไปถึงระดับ 60-70% ได้ในหลาย ๆ เคสซะด้วย ส่วนถ้าเอาไปเทียบกับ Adreno ในชิป Qualcomm 1E-84-100 ตัวชิปการ์ดจอ Intel Lunar Lake Arc 140V ให้ความแรงที่มากกว่าถึง 68% ซึ่งมากกว่า 2 เท่าซะด้วยซ้ำไป ทำให้ถ้าใครคาดหวังว่าจะนำ Notebook บางเบาไปทำงาน 3 มิติ หรือเล่นเกม 3 มิติ ก็ได้ทำได้ดีกว่าที่เคยมีมา

สำหรับโปรแกรมทดสอบ CINEBENCH 23 ที่เน้นในเรื่องของพลังชิปประมวลผล Intel Core Ultra 7 258V คะแนนก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจ ซึ่งอาจจะไม่แรงมากในการ Benchmark นี้ กับเป็นชิปประมวลผลแบบไฮบริดคอร์แบบ 2 ประเภท ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ เปรียบเทียบกับชิปประมวลผลรุ่นใหม่ๆ ก็ทำได้ดี แม้ว่าอาจจะไม่ใช่รุ่นตัวแรงที่สุดอย่าง H Series ก็ตาม ทั้งแบบ Multi Core หรือ Single Core เรียกได้ว่าตอบโจทย์ในส่วนของงานประมวลผลหนักๆ ได้อย่างดี รวดเร็วทันใจแบบสุดๆ สมกับเป็นชิปประมวลผลตัวบนในรุ่นใช้งานเต็มกำลัง และการ์ดจอระดับบนที่เน้นการทำงานเป็นหลัก

ตัวเก็บข้อมูลของเครื่องเป็น SSD ก็ทำคะแนนออกมาได้อย่างรวดเร็วเป็นที่น่าพอใจบนขนาดความจุ 1TB มาตรฐานแบบ SSD M.2 NVMe PCIe Gen 4 เมื่อนำไปใช้เทียบกับ SSD ทั่วไป ก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพทั้งในด้านการทดสอบและในด้านการใช้งานจริงที่แตกต่างกันอย่างเห็นเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าลื่นไหลในทุกๆ การใช้งาน ที่ต้องบอกว่าความเร็วระดับการอ่านที่ราวๆ 5008 MB/s และเขียนที่ 3167 MB/s สมกับเป็น SSD ที่ติดตั้งบน Notebook ระดับสูง ถือว่าน่าพอใจ ยังไงก็ใช้งานได้อย่างลื่นไหลแน่นอน

การทดสอบประสิทธิภาพกับโปรแกรม PCMark 10 ซึ่งสามารถทำคะแนนการทดสอบรวมได้มากถึง 6706 คะแนน ถือได้ว่าในส่วนของการใช้งานทั่วไปการใช้งานพื้นฐานโดยรวมนั้นสอบผ่านแบบสบายๆ ทั้งในส่วนของการเล่นเว็บไซต์ งานเอกสาร งานตกแต่งรูปภาพ รวมถึงงานตัดต่อวิดีโอ และจากการที่เป็นโน๊ตบุ๊คเล่นเกมมีชิปประมวลผลยุคใหม่ ต้องบอกว่าคะแนนที่ได้จากการทดสอบนั้นแรงเหลือเฟือจริงๆ ทำให้เราสามารถทำงานประมวลผลไปด้วย และเล่นเกมไปด้วย ก็ทำได้ลื่นไหล

สำหรับคะแนนในการเล่นเกมจากการทดสอบการ์ดจอแยกด้วยโปรแกรม 3D Mark ที่พัฒนาและคิดค้นจากบริษัท AMD, Intel, Microsoft, NVIDIA ในส่วนของ Time Spy ทำออกมาน่าสนใจมากๆ ด้วยคะแนนรวม 3171 และประมวลผลคาดการณ์เกม Battlefield V ปรับสุด Full HD ได้ 70+ FPS เน้นเรื่อง DirectX 12 เป็นตัวช่วยขับเคลื่อนเพื่อมาเสริมข้อบกพร่องทางด้านการทำงานต่างๆ รองรับการเล่นเกม 3 มิติขั้นสูง หรือทำงาน 3 มิติที่ซับซ้อนได้เทียบเท่าการ์ดจอแยก Notebook ได้เลยล่ะ

เกมออนไลน์ใช้ทรัพยากรน้อยลงมาอย่าง DOTA 2 / PUBG ก็จัดการทดสอบแบบปรับสุดหมดให้ด้วยเช่นกัน สำหรับรายละเอียดภาพอื่นๆ ก็เรียกได้ว่าเปิดทุกอัน ผลที่ได้ออกมาก็คือสามารถเรนเดอร์ได้อย่างไหลลื่นในระดับเฟรมเรทเฉลี่ยอยู่ที่ 34 – 87 fps กรณีเราใช้เล่นเกมจริงๆ แนะนำว่าเป็น V-Sync จะดีกว่า เครื่องก็จะได้ไม่ทำงานเต็มที่ตลอดเวลา สรุปแล้วเป็น Creator Notebook บางเบา ก็ถือว่าเล่นได้สบายๆ ซึ่งก็อาจะไม่ได้แรงเท่า Gaming Notebook ในช่วงราคาหรือสเปกพอๆ กัน

MSI Center S เป็นโปรแกรมอรรถประโยชน์เวอร์ชั่นล่าสุดที่ออกแบบมาเป็นอย่างดี ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ต่อยอดมาจากรุ่นก่อนๆ คือ ใช้งานสะดวก สามารถช่วยเหลือ จัดการการปรับแต่งตั้งค่า MSI Notebook ได้อย่างลงตัว พร้อมได้ธีมที่เข้ากับตัวเครื่อง ถือว่าเป็นอีกหนึ่งไฮไลน์ของทาง MSI ซึ่งแบ่งเป็นหมวดหมู่ต่างๆ เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน โดยหน้าเมนูต่างๆ แบ่งตามลักษณะการใช้งานที่ชัดเจน รวมไปถึงการอัปเดทซอฟต์แวร์ต่างๆ และสามารถดูสภานะการทำงานได้ ซึ่งสามารถจัดการได้ง่ายยิ่งกว่าเดิมอีกด้วย

Battery / Heat / Noise

แบตเตอรี่ที่ติดตั้งมาให้ใน MSI Prestige 13 AI+ Evo มีความจุที่สูง 75Whr ส่วนของการทดสอบระยะเวลาใช้งานของแบตเตอรี่โดยตั้งค่าความสว่างหน้าจอและเสียงให้ระดับต่ำเหลือ 10% พร้อมเลือกโหมด Super Battery ของ MSI แล้วเล่นเว็บสลับกับดู Youtube แล้ว โปรแกรม BatteryMon แจ้งระยะเวลาใช้งานต่อเนื่องในเงื่อนไขได้เกือบ 16 ชั่วโมง ซึ่งจากการทดสอบล่าสุดพบว่าแบตเตอรี่ใช้งานได้ดีกว่า Notebook บางเบาที่เป็นรุ่นการ์ดจอออนชิป จากเครื่องสเปกที่แรงแบบนี้

ด้านการทดสอบอุณหภูมิสำหรับ Notebook ที่เป็น AI PC เครื่องบางเบาสุดๆ นี้ที่ให้เป็น Cooler Boost ได้พัดลม 1 ตัวขนาดพอดี พร้อม Heat Pipe เส้นใหญ่ เรียกได้ว่าเป็นโน๊ตบุ๊คอีกรุ่นที่มีการระบายความร้อนได้ดี มีความสเถียรมาก เมื่อใช้งานแบบปกติจะอยู่ที่ประมาณ  45 – 60 องศาเซลเซียส ภายในห้องปรับอากาศอุณหภูมิประมาณ 25 – 27 องศาเซลเซียส จากนั้นทการทดสอบเบิร์นให้เครื่องทำงาน 100% โดยได้ทำการเล่นเกมหนักๆ เป็นเวลานานๆ ซึ่งได้เปิดโหมด Cooler Boots เร่งรอบพัดลมสูงสุดไว้

ทดสอบชิปประมวลผล Core Ultra 7 258V ด้วยโปรแกรม Benchmark และเล่นเกมต่อเนื่อง เพื่อทำให้ความร้อนสูงสุดที่เกิดขึ้นนั้นถือว่าทำได้ดีเยี่ยมเลย โดยอยู่ที่ 95 องศาเซลเซียสไม่เกินจากนี้ จัดว่าค่อนข้างสูงทีเดียว แต่ก็เรียกได้ชุดระบายความร้อนจาก MSI ทำหน้าที่ได้เยี่ยมยอดแล้ว และการ์ดจอออนชิปอย่าง Intel Arc 140V นับว่าควบคุมความร้อนได้ดีเท่าที่ได้ กับร้อนสุดที่ 77 องศาเซลเซียส ส่วนตัวเครื่องภายนอกนั้นรับรู้สัมผัสได้ถึงความร้อนเล็กน้อย ถือว่าให้ประสบการณ์ที่น่าพอใจ

Facebook
Facebook
YouTube
Instagram