Last Updated on 06/06/2023 by admin
MacBook Air 15 เปิดตัวแล้ว ดีไซน์เหมือน 13
สเปก M2 จอ Liquid Retina 15.3″ ลำโพง 6 ตัว
เบา 1.51 โล บาง 11.5 ม.ม. เริ่ม 47,900 บาท
MacBook Air 15 จอใหญ่ไซส์ 15.3″ ดีไซน์บางเบา ได้ทำการเปิดตัวแล้ว กับราคาเริ่มต้นที่ 47,900 บาท โดย MacBook Air รุ่นใหม่ที่จะมาเติมเต็ม Line Up ของ MacBook จาก Apple โดยจะเป็นการทำตลาดตีคู่ไปกับรุ่นหน้าจอ 13.6″ โดยใช้ชิป Apple M2 ที่เหมือนกัน ทำให้คนที่ต้องการ MacBook จอใหญ่ แต่ดีไซน์บางเบานั้นมีตัวเลือกมากยิ่งขึ้น (ที่ผ่านมาต้องไป Pro 16) อีกทั้งในส่วนของของ MacBook Air 13 เองก็ได้ลดราคาลงมา โดยตัวเริ่มต้นเหลือ 39,900 บาท จากเดิมที่ 43,900 บาท
เรียกได้ว่าคล้ายกับ Notebook แบรนด์ต่างๆ ที่เป็น Windows มีให้ขนาดหน้าจอเลือก ซึ่งดีไซน์หลักๆ ของ MacBook Air 15 นี้ เป็นการต่อยอดกับรูปทรงและการออกแบบที่เหมือนกัน :ซึ่งขยายใหญ่ขึ้นในทุกๆ มิติ วัสดุเป็นอลูมิเนียมกระบวนการ CNC และอาจจะมีหลายสีสันให้เลือก พร้อมคีย์บอร์ด TrackPad Touch ID ที่เหมือนๆ กัน แต่ก็จะมีส่วนต่างจากรุ่นจอ 13.6″ ในบางส่วนก็คือ ได้หน้าจอเป็น Liquid Retina Display ความละเอียดที่ 2880 x 1864px @60Hz ค่าสีมาตรฐาน P3 ความสว่าง 500nit
ที่มีความหนาแน่นต่อตารางนิ้วที่เหมาะสม ด้วย Pixels Per Inch (PPI) พร้อมมีติ่งเหมือนรุ่น MacBook ยุคใหม่ทุกรุ่น ซึ่งเว้นไว่ใส่เว็บแคมและเซ็นเซอร์ต่างๆ ส่วนการเชื่อมต่อเป็น Thunderbolt 3 / USB 4 จำนวน 2 พอร์ต พร้อมด้วย MagSafe 3 เหมือน MacBook ทุกรุ่น และแบตเตอรี่มีความจุที่มากกว่าที่ 66.5Whr ทำให้รองรับการใช้งานที่ดีตามสไตล์ของ Apple แต่ก็ยังเป็นรองในส่วนของ MacBook Pro อยู่มาก โดยตัวเครื่องมีความบางเท่าๆ กัน 11.5 มิลลิเมตร และมีน้ำหนักเบาที่ 15.1 กิโลกกรัม
วัสดุทั้งหมดทำมาจากการขึ้นรูปอลูมิเนียมกระบวนการ CNC มาเป็นอย่างดี แข็งแรง พรีเมียม งานประกอบเนี๊ยบ ตามสไตล์ของ MacBook Air ที่เน้นความบางแบบสุดๆ โดยมีสีทอง Starlight, เงิน Silver , เทา Space Gray และสีน้ำเงิน Midnight ที่สวยงาม ลำโพงก็เสียงดีขึ้น ติดตั้งแบบ 6 ตัว ระบบ Dolby Atmos ซึ่งคาดว่าเสียงดีสุดในหมู่ MacBook Air แต่ก็เป็นรอง Pro 16 ประสบการณ์ด้านภาพและเสียงที่ประทับใจ ทั้งในการใช้งานพื้นฐานทั่วไป หรือการทำงาน Creator แบบมืออาชีพก็ตอบโจทย์
ด้านชิปประมวลผล MacBook Air 15 M2 ใช้แบบเดียวกันกับ MacBook Air 13 M2 เป็น Apple M2 มีทรานซิสเตอร์ 2 หมื่นล้านตัว (มากกว่า M1 ถึง 25%) ต่อยอดมาจาก M1 เมื่อ 2 ปีก่อน โดยทำงาน 8 Core พร้อมคอร์ด้านประสิทธิภาพ 4 Core และคอร์ด้านประหยัดพลังงาน 10 Core ก็เหลือเฟือกับการใช้งาน ส่วน GPU ทำงานกราฟิกแบบ 8core / 10 core ที่เราเลือกรุ่นได้เอง รวมไปถึงมี Neural Engine แบบ 16-core สามารถทำงานได้โดยที่พัดลมไม่จำเป็นต้องมีเลย ส่งผลให้ทำงานได้เงียบสนิทเหมือนเดิม
ส่วนแรมก็ติดตั้งมาให้ขนาด 8GB ซึ่งพอเพียงกับการใช้งาน ซึ่งถ้าให้ดีแนะนำให้อัปเป็น 16GB (เลือก CTO ได้เป็น 16GB – 24GB) นอกจากนี้ได้ที่เก็บข้อมูลแบบ SSD ความเร็วสูงที่ 256 – 512 GB เหลือเฟือกับการทำงานมากๆ แต่สเปก 256GB จะมีความเร็วที่ตกลงไป ทำให้ถ้าเลือกได้เลือกเป็น 512GB ก็จะดีกว่า (CTO ได้สูงสุด 2TB) ติดตั้งกล้อง Webcam ความคมชัดระดับ 1080p (Full HD) และไมโครโฟนแบบ 3 ตั ช่วยเรื่องการตัดเสียงรบกวน ช่วยเรื่อง VDO Call อย่างการประชุมหรือเรียนออนไลน์
แบตเตอรี่ตามที่ Apple เคลมไว้คือสามารถใช้งานได้นาน 15 – 18 ชั่วโมง พร้อมฟีเจอร์ชาร์จไฟกลับไว้ ใช้เวลา 30 นาที จาก 0% ไป 50% (ด้วยอแดปเตอร์ 67W ที่ต้องเพิ่มเงิน เดิมๆ คือ 30W) ซึ่งจากการที่แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานกว่า Notebook ทั่วไปนี้ ก็เป็นผลมาจากชิปประมวลผล Apple เป็นสถาปัตยกรรมเดียวกับ iPhone, iPad นั่นเอง มีปุ่มเปิดเครื่องเป็น Touch ID ใช้งานการสแกนลายนิ้วมือเพื่อเข้าใช้งานต่างๆ การเชื่อมไร้สายอย่าง Wi-Fi 6AX , Bluetooth 5.3 ได้ macOS รุ่นล่าสุด