Last Updated on 03/05/2024 by admin
MacBook Air ชิป M3 ทั้งจอ 13.6″ / 15.3″ พร้อมขายแล้ว
ได้ดีไซน์เดิม เริ่ม 39,990 บาท พร้อมยกเลิกขายรุ่นชิป M1
MacBook Air 2024 รุ่นใหม่ เปิดตัวพร้อมขายแล้ววันที่ 4 มีนาคม 2024 โดยใช้ชิปประมวลผลรุ่นล่าสุดอย่าง M3 ซึ่ง Apple เคลมว่าเพิ่มความเร็วขึ้นสูงสุดที่ 60% เมื่อเทียบกับชิป M1 ใช้เทคโนโลยี 3 นาโนเมตรในการผลิต พร้อมความสามารถ Ray Tracing มาให้ในทุกรุ่น โดยมี Media Engine ฝังมาให้ รองรับ ProRes และ ProRAW และใช้พลังงานต่ำ ร้อนน้อยลง โดยมีอัตราประสิทธิภาพต่อกำลังไฟดีที่สุด ส่งผลให้แรงขึ้น และแบตเตอรี่ก็ใช้งานได้ยาวนานกว่าเดิม
ส่วนของ Dynamic Caching ของชิป M3 สามารถจัดสรรการใช้หน่วยความจำในฮาร์ดแวร์ของเครื่องในแบบเรียลไทม์ ส่งผลให้เรนเดอร์ได้เร็วกว่าชิปตระกูล M1 หลายเท่า อีกทั้ง Core ประสิทธิภาพและ Core ประหยัดพลังงานของ CPU เร็วขึ้นกว่าเดิม เมื่อเทียบกับชิป M1 อีกทั้งเร็วกว่าชิป Intel รุ่นก่อนๆ กว่ามาก อีกทั้ง GPU ของชิป M3 ใช้พลังงานน้อยกว่าชิป M1 กว่าครึ่งแต่มีประสิทธิภาพสูงกว่า ที่ก่อนหน้านี้ได้ใช้ใน MacBook Pro 14, Pro 16 ตอนนี้ Air 13, Air 15 มีแล้ว
ซึ่ง MacBook Air รุ่นล่าสุดที่มีขายอยู่ตอนนี้มี 2 ขนาดหน้าจอให้เลือก ทั้ง 13 (13.6″) ที่เน้นพกพาสะดวกที่สุด กับราคาเริ่มต้น 39,990 บาท และ 15 (15.3″) ที่ได้ความจอใหญ่ขึ้น แต่ก็ยังบางและเบามากๆ ในราคาเริ่มต้น 47,990 บาท ดีไซน์หลักๆ ของ MacBook Air 13 / MacBook Air 15 นี้ เป็นรูปทรงและการออกแบบที่เหมือนกัน ซึ่งต่างกันที่ขนาด วัสดุเป็นอลูมิเนียมกระบวนการ CNC และอาจจะมีหลายสีสันให้เลือก ที่น้ำหนักจัดว่าเบามากๆ ที่ 1.22 / 1.51 กิโลกรัมตามลำดับ
โดย MacBook Air ปี 2024 ที่ใช้ชิป Apple M3 นี้ยังคงใช้ดีไซน์แบบเดิม ซึ่งรุ่น Air 13 โดดเด่นด้วยหน้าจอ Liquid Retina Display ที่ 2560 x 1664 พิกเซล QHD+ (224 PPI) ความสว่างสูงสุด 500nits มีฟีเจอร์ True Tone กับสัดส่วน 16:10 เหมือนกับ MacBook รุ่นอื่นๆ ส่วนพาเนลเป็น IPS คุณภาพสูง ซึ่งให้สีสันที่สวยสมจริงและมุมมองที่กว้างขว้างมาตรฐาน P3 และลำโพงก็เสียงดีมากๆ ติดตั้งแบบ 4 ตัว ระบบ Dolby Atmos เรียกได้ว่าเป็น Notebook จอเล็กที่เสียงดีมากๆ
ส่วน Air 15 ได้หน้าจอเป็น Liquid Retina Display ความละเอียดที่ 2880 x 1864px @60Hz ค่าสีมาตรฐาน P3 ความสว่าง 500nit ซึ่งลำโพงก็เสียงดีกว่า ติดตั้งแบบ 6 ตัว ระบบ Dolby Atmos ซึ่งเสียงดีสุดในหมู่ MacBook Air ตั้งแต่เคยมีมา ให้ประสบการณ์ด้านภาพและเสียงที่ประทับใจ ทั้งในการใช้งานพื้นฐานทั่วไป หรือการทำงาน Creator แบบมืออาชีพก็ตอบโจทย์ ทั้ง 2 รุ่น มีปุ่มเปิดเครื่องเป็น Touch ID ใช้งานการสแกนลายนิ้วมือเพื่อเข้าใช้งานต่างๆ นับว่าน่าสนใจไม่แพ้กัน
การมาของ MacBook Air 13 สเปกชิป M3 จะมีราคาเริ่มต้นที่ 39,900 บาท ได้แรม 8GB + SSD 256GB ในส่วนของ MacBook Air 15 สเปกชิป M3 มีราคาเริ่มต้นที่ 47,900 บาท ได้แรม 8GB + SSD 256GB เช่นกัน โดยทั้งสองรุ่นมีจำหน่ายในสีมิดไนท์ สีสตาร์ไลท์ สีเงิน และสีเทาสเปซเกรย์ แบตเตอรี่ตามที่ Apple เคลมไว้คือสามารถใช้งานได้นาน 15 – 18 ชั่วโมง ติดตั้งกล้อง Webcam ความคมชัดระดับ 1080p (Full HD) และไมโครโฟนแบบ 3 ตัว การเชื่อมไร้สายอย่าง Wi-Fi 6E, Bluetooth 5.3
อย่างไรก็ตามแรมขนาด 8GB พอเพียงกับการใช้งาน ซึ่งถ้าให้ดีแนะนำให้อัปเป็น 16GB (เลือก CTO ได้เป็น 16GB – 24GB) นอกจากนี้ได้ที่เก็บข้อมูลแบบ SSD ที่ 256 – 512 GB ความเร็วสูงเหลือเฟือกับการทำงานมากๆ แต่ความจุ 256GB อาจจะน้อยเกินไป ถ้าเลือกได้เลือกเป็น 512GB ก็จะดีกว่า (CTO ได้สูงสุด 2TB) โดย MacBook Air 13 M2 ปรับราคาลงเป็น 34,900 บาท พร้อมเลิกขาย MacBook Air M1 แล้ว นับเป็นการหยุดการขายผลิตภัณฑ์ชิป M รุ่นแรกของโลก ที่มีการขายมามากกว่า 3 ปีแล้ว