Last Updated on 02/08/2025 by admin
ชาร์จรถไฟฟ้าอย่างไรบ้าง ? ช่วยรักษาแบตเตอรี่ให้สุขภาพดี
เพื่อยืดอายุการใช้งานที่สุด มีแนวโน้มจะเสื่อมช้าที่สุด
การชาร์จรถไฟฟ้า (BEV: Battery Electric Vehicle) ให้สามารถรักษาสภาพแบตเตอรี่ได้นานที่สุดนั้นมีความสำคัญมาก เพราะจะช่วยยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่และประหยัดค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ได้ หลักๆ แล้วประกอบไปด้วย
1. หลีกเลี่ยงการชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม 100%
ไม่ควรชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม 100% เป็นประจำ แต่ควรตั้งเป้าหมายในการชาร์จแบตเตอรี่ให้ระดับ 80% ซึ่งจะช่วยยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ได้ดีกว่า แต่ไม่ใช่จะการชาร์จ 100% ไม่ได้เลย ก็สามารถทำได้ถ้าจำเป็นต้องใช้แบบเต็มระยะการวิ่ง
2. ไม่ควรใช้แบตเตอรี่จนเหลือ 0% บ่อยๆ
เพราะอาจทำให้แบตเตอรี่เสื่อมได้ ทำให้เกิดการคายประจุออกไป ความจุของแบตเตอรี่จึงลดลงซึ่งเปรียบเหมือนสุขภาพของแบตเตอรี่ (SOH: State of Health) ก็จะแย่ลง เพราะความจุลดลงแม้จะชาร์จเต็ม 100% และส่งผลให้ระยะวิ่งก็ลดลงด้วย
3. ใช้การชาร์จ AC เป็นประจำ แทนการชาร์จ DC
การชาร์จเร็ว อย่าง DC อาจสะดวกและรวดเร็ว แต่การชาร์จช้าอย่าง AC จะช่วยรักษาสภาพแบตเตอรี่ได้ดีกว่า ควรหลีกเลี่ยงการใช้การชาร์จแบบเร็วเว้นแต่ในกรณีที่จำเป็น เพราะ DC ก่อให้เกิดความร้อนกับเรียงตัวของไอออนไม่เป็นระเบียนมากกว่า
4. หลีกเลี่ยงการชาร์จ DC ในอุณหภูมิที่สูงเกินไป
การชาร์จแบตเตอรี่ในอุณหภูมิที่สูงเกินไปอาจทำให้แบตเตอรี่เสื่อมได้เร็วขึ้น (เช่น รถตากแดดในหน้าร้อน) ควรพยายามชาร์จแบตเตอรี่ในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิที่ไม่ร้อนจนเกินไปนัก อาจจะหลีกเลี่ยงการชาร์จเร็วแบบ DC ควรชาร์จ AC จากที่บ้าน
5. ตรวจสอบสถานะแบตเตอรี่รถไฟฟ้าเป็นระยะ
การตรวจสอบสภาพแบตเตอรี่เป็นระยะจะช่วยให้ทราบถึงสภาพแบตเตอรี่และสามารถป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ เพราะอาจจะมีกรณีอื่นๆ เช่นซีลของแพ็คแบตเตอรี่มีปัญหา จะเหตุต่างๆ ควรนำรถไฟฟ้าเข้าตรวจสภาพแบตเตอรี่ตามระยะเวลาที่กำหนด
สรุป
การชาร์จไฟฟ้าให้เหมาะสมและถูกวิธีนั้นจะช่วยยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ได้ ทำให้เราสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ไปได้ รวมถึงใช้งานรถไฟฟ้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และมีแนวโน้มจะเสื่อมช้าที่สุด