Last Updated on 05/18/2024 by rromruns
นอกเหนือจากเรื่องของความเป็นส่วนตัว และความปลอดภัยแล้ว ประเด็นเรื่องตกงานก็เป็นอีกเรื่องที่หลายคนกำลังสนใจหลังจากได้เห็นความสามารถของ generative AI
บริษัทอย่าง Microsoft และ OpenAI ต่างลงทุนพัฒนาในเทคโนโลยีตัวนี้กันอย่างขะมักเขม้น และเราก็ได้เห็นพัฒนาการของมันที่เก่งมากขึ้นเรื่อย ๆ จนน่ากลัวมาก ๆ และเดาไม่ออกเลยว่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้า มันจะทำอะไร ๆ ได้มากขนาดไหน
ปีที่แล้ว Microsoft ได้เปิดเผยรายงานเกี่ยวกับเทรนด์การทำงานประจำปีฉบับที่ 3 ที่บอกว่า 49% ของผู้ที่ร่วมทำแบบสำรวจกลัวเรื่องการตกงานจาก AI แต่คนส่วนใหญ่ก็อยากได้ระบบตัวนี้เข้ามาช่วยให้ทำงานได้ง่ายขึ้น ลดเวลาในการทำงานลงด้วย
มาปีนี้ ผู้บริหารบริษัทส่วนใหญ่กำลังกลัวว่าตัวเองจะไม่มีความสามารถมากพอที่จะเติมเต็มตำแหน่งงานของตัวเองให้กับองค์กรได้ และฝั่งแผนก HR ก็กำลังเปิดกว้างสำหรับตำแหน่งงานที่มีความสามารถด้าน AI ในหลากหลายวงการ ทั้งความปลอดภัยไซเบอร์ วิศวกร และนักออกแบบ
นอกจากนั้นยังมีข้อมูลว่าสมาชิกใน LinkedIn มีการเพิ่มสกิลด้าน AI อย่าง Copilot และ ChatGPT ในโปรไฟล์ของตัวเองเพิ่มขึ้นมากว่า 142 เท่า
การเปิดตัวระบบใหม่ GPT-4o ของ OpenAI ยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงความสามารถของระบบ AI ว่ามันจะไปได้อีกไกลขนาดไหน ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารด้วยเสียง ภาพ และข้อความแบบ real-time พูดคุยกับตัวระบบได้ลื่นไหลเหมือนคุยกับคนจริง ๆ เลย
และอีกจุดที่ดูจะเป็นประเด็นที่น่ากลัวมาก ๆ คือระบบตัวใหม่นี้ สามารถทำการเขียนโค้ดโปรแกรมได้ เข้าใจโค้ดที่เขียนไว้แล้ว วิเคราะห์ได้อย่างรวดเร็ว และแม่นยำ และนี่น่าจะกลายเป็นผลกระทบสำหรับสายอาชีพโปรแกรมเมอร์อย่างแน่นอน
ก่อนหน้านี้ CEO ของ NVIDIA Jensen Huang ก็เคยให้ความเห็นในเรื่องนี้เอาไว้ด้วยว่า ความพยายามในการพัฒนาความทักษะด้านการเขียนโค้ดอาจจะไม่คุ้มค่าการลงทุนในยุคของ AI อีกต่อไปแล้ว แต่แนะนำให้เด็กรุ่นใหม่ ๆ หันไปสนใจด้านชีววิทยา การศึกษา การผลิต และการทำฟาร์มมากกว่า
ที่มา ibit.ly/raovj